1

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

การจะมีคู่แท้สักคน... จึงต้องใช้เวลาในการแสวงหาเสมอ

การจะมีคู่แท้สักคน




... จึงต้องใช้เวลาในการแสวงหาเสมอ
...เพราะคำคำเดียวสั้นๆ ที่เรียกขานว่า "รัก" ไม่ใช่หรือที่ทำให้เราเกิดมาในโลกใบนี้อย่างมีคุณค่า เป็นโซ่ทองคล้องชีวิตคู่ของบุพการีของเราให้ยั่งยืนยาวมาจนทุกวันนี้
...เพราะคำว่า "รัก" ไม่ใช่หรือที่ทำให้มนุษย์เราหยุดการรบราฆ่าฟัน หันมาช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามที่ทุกฝ่ายต้องร่วมแรงร่วมใจฝ่ามหันตภัยทั้งหลาย ไม่ว่าจะเกิดจากธรรมชาติหรือเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ มีคำกล่าวมานานนักหนาแล้วว่า... โลกของเราใบนี้ยังคงหมุนอยู่ได้เพราะพลังที่เกิดจากความรัก และที่ใดที่ปราศจากความรักแล้ว... ความเสื่อมสลายก็จะต้องบังเกิดขึ้น
มีคนกล่าวว่า "รักแท้" เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมจะดับได้ยาก และมีแต่จะเพิ่มพูนความรักให้แน่นแฟ้น ยืนยงต่อไปเรื่อยๆ ตราบนานเท่านาน เป็น...ปรัชญาของความรักในอดีต ซึ่งน่าจะดำรงคงอยู่ และถ้าจะสูญหายไปบ้าง ก็น่าจะหวนกลับมาจรรโลงสังคมและโลกของเราใบนี้ให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ปีเก่าผ่านไป...ปีใหม่ที่ผ่านมานี้ เราได้เห็นความทุกข์ยากลำบาก การพลัดพรากจากผู้เป็นที่รัก จากภัยของธรรมชาติที่มาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ...ขณะเดียวกัน เราก็ได้เห็นน้ำใจของผู้คนที่หยิบยื่นความช่วยเหลือแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากเหล่านั้น ด้วยความรัก แบ่งปันน้ำใจ แบ่งปันทรัพย์สินที่มีอยู่ แบ่งปันเวลา แรงกายแรงใจ เพื่อที่จะซับน้ำตาแห่งความทุกข์ของพวกเขาให้บรรเทาเบาบางลงบ้าง... แม้จะเพียงน้อยนิด พลังแห่งน้ำใจเหล่านั้นแหละ ...เป็นพลังของความรัก และพลังของความรักนั้น มักจะเกิดขึ้นในสภาวะแห่งความทุกข์เสมอ ในสภาวการณ์ดังกล่าวทุกคนจะร่วมแรงร่วมใจให้ความรักความสมัครสมานสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน ลืมความบาดหมาง ความคับข้องใจกันและกัน ให้อภัยกัน...เสมอ เพราะมักจะมีคำกล่าวว่า ความรัก...คือการให้อภัย การให้อภัยนั้น อาจจะเป็นบริบทแรกของความรัก... และบริบทสุดท้ายของความรักก็ได้ ใครจะรู้ แม้ว่าในยุคนี้ คนเราจะแล้งน้ำใจ...และเห็นแก่ตัวกันมากขึ้นทกขณะ แต่คนที่ยังคงมีความรักและรู้จักการให้อภัย...จะมีความสุขในบั้นปลายชีวิตเสมอๆ ...และแม้ว่า ความรักจะไม่ค่อยยืนยงเท่าไร ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงในยุคกระแสแห่งการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ในยุคที่ต้องเอาตัวรอดจากสภาพเศรษฐกิจสังคมที่เปลี่ยนไป จนยากที่จะก้าวตามทันการเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่รู้จักการปรับตัวให้เข้ากับสังคมยุคใหม่
การจะมีคู่แท้สักคน... จึงต้องใช้เวลาในการแสวงหาเสมอ!! และจำไว้ว่า ถ้าพบแล้วอย่าปล่อยให้ผ่านไป... เพราะอาจจะไม่มีผ่านมาใหม่อีก คู่ของคนเรานั้น มีทั้งคู่กรรม...และคู่บุญ และบางคนก็เป็นทั้งคู่บุญคู่กรรมด้วยกัน วัฏจักรของคู่ที่เวียนว่ายตายเกิดมาในชีวิตของคนเรานั้น มักจะมีคู่บุญและคู่กรรมสลับกัน เหมือนที่เขาว่าไว้ว่า ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหนนั่นแหละ ใครที่กำลังทุกข์อยู่ก็ขอให้รู้ว่า เมื่อเกิดความทุกข์ถึงที่สุดแล้ว ในท้ายที่สุดถ้ายังคงมีกำลังใจที่จะดำรงคงอยู่ ความสุขก็จะกลับมาเป็นรางวัลชีวิต หลายต่อหลายคนเศร้าโศก... เมื่อคนรักคู่ครองที่อยู่กันมานานจะต้องจากไป ถ้าหัดคิดบ้างว่า... คู่กรรมกำลังจะจากไปแล้ว คู่บุญกำลังจะมา ความสุขในชีวิตก็จะบังเกิด พลังอำนาจของความคิดในทางบวกนั้น เป็นพลังอำนาจที่ปฏิเสธไม่ได้ และมักจะเป็นจริงตามที่คิดเสมอๆ แม้ว่าบางครั้งอาจจะต้องรอนานจนเกือบจะรอไม่ได้ก็ตาม ...สวรรค์ไม่ทำร้ายคนที่คิดดี ทำดี ตลอดไปหรอก!! ในท้ายที่สุด บุญกุศล และความดีที่ทำก็จะสามารถเอาชนะความทุกข์ภายในใจได้ และเมื่อนั้น ความรักก็จะหวนกลับมาใหม่ ส่วนใครที่อยู่ครองชีวิตกับคนที่คิดว่า เป็นคู่บุญ ก็ควรจะร่วมกันทำบุญกุศลร่วมกันเป็นประจำ เพื่อที่คู่บุญจะได้ไม่จากไป... และคู่กรรมที่จะนำความทุกข์ยากจะไม่กลับมา เคยอ่านหนังสือที่มีชื่อว่า...เราจะข้ามเวลามาพบกัน ซึ่งเรื่องราวกล่าวว่า คนเรานั้นอาจมีอยู่หลายชาติภพ ถ้าเชื่อในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด ทีนี้ในแต่ละชาติภพนั้น ก็น่าจะมีเนื้อคู่อยู่อย่างน้อย 1 คน ไม่ว่าจะเป็นคู่บุญ หรือคู่กรรมก็ตาม ...บางคู่ ก็ทำบุญร่วมกันขอตามมาเกิด ในชาติภพต่อไปเพื่อที่จะรับผลบุญที่กระทำร่วมกัน ...บางคู่ก็ทำกรรมร่วมกันมา ก็อาจจะอาฆาต พยาบาทตามมาทำลายล้างกันในชาตินี้ แล้วแต่จะตั้งจิตอธิษฐานในทางที่ดี...หรือทางที่ร้าย และในบางชาติภพที่เนื้อคู่ ไม่ว่า คู่บุญ หรือคู่กรรม ตามมาพบกันมากกว่า 1 คนในชาติภพนั้น เรื่องราวความรัก ความหวัง ความผิดหวัง ความพลัดพราก...และอะไรต่อมิอะไรที่อยากให้เกิด และไม่อยากให้เกิดก็อาจจะเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ ซึ่งนอกเหนืออำนาจของมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่จะไปจัดการได้
...ต้องปล่อยให้เป็นไปตามวัฏจักร ตามธรรมชาติของความรักความหลงของมวลมนุษยชาติ ได้แต่แนะนำให้ตั้งสติเอาไว้ เวลาที่คู่กรรมจะจากไป...ให้เขาหรือเธอไปพบกับคู่กรรมของพวกเขา จะได้ไม่กลับมาทำความทุกข์ยากลำบากใจให้กับเราอีกต่อไป
...และภาวนาขอให้คู่บุญของตัวเรา จงรีบมาแสดงตัว นั่นเป็นแนวคิดที่ควรคิด...ในเวลาแห่งการพลัดพราก ว่าก่อนอื่นมีคนคนหนึ่งที่รอความรักอยู่เสมอ และคนคนนั้นก็คือ ตัวของเราเอง ในเมื่อตัวของเราเกิดจากความรักของพ่อแม่ ซึ่งได้ให้กำเนิดเรามา เราจึงต้องรักษาตัวของเรา ซึ่งเป็นที่รักของพ่อแม่ เอาไว้ทดแทนคุณของบิดามารดา ก่อนที่จะจากโลกนี้ไปอย่างสงบสุข เหมือนที่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ฝากกลอนเอาไว้ให้ช่วยเขียนเตือนสติของผู้ที่จะมีความรักทั้งหลายว่า...

หากรักใคร ขอให้รัก เพียงแค่ครึ่ง อีกครึ่งหนึ่ง ของหัวใจ เก็บไว้ฝัน หากวันใด ถูกสลัด ตัดสัมพันธ์ เอาครึ่งนั้น มาทดแทน แทนที่ใจ

คุณมีความสุขแค่ไหน

คุณมีความสุขแค่ไหน

คนเรามักรู้อยู่แก่ใจว่าเวลาไหนที่ตัวเองไม่มีความสุข และเวลาไหนที่มีความสุขในชีวิต แต่ถ้าถามว่า "คุณมีความสุขแค่ไหน" ก็อาจตอบให้ชัดเจนลงไปไม่ได้ โรเบิร์ต ฮาร์ริงตัน ได้ออกแบบทดสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยดูจากลักษณะนิสัยที่พบทั่วไปในหมู่คนที่มีความสุขและปรับตัวได้ดี แบบทดสอบนี้จะช่วยวัดระดับความสุขของคุณ เลือกคำตอบที่ตรงกับความรู้สึกหรือสถานการณ์ของคุณเองมากที่สุด (อย่าหลอกตัวเองโดยพยายามเลือกข้อที่ดูเหมือน "มีความสุขที่สุด") ถ้าไม่มีตัวเลือกที่ตรงเลย ก็ให้เลือกคำตอบได้ 2 ข้อ แต่ห้ามเกินนั้น

1. ถ้าให้คุณมีโอกาสเลือกงานชิ้นต่อไปได้ คุณจะเลือกงานแบบไหน
ก. งานที่ยากและท้าทาย ถ้าคุณทำงานนั้นสำเร็จก็จะได้เลื่อนตำแหน่งไปทำงานบริหาร
ข. งานที่คุณถนัด เพราะเหมาะกับพลังและความสามารถของคุณ
ค. งานพื้นๆ ที่ได้ใกล้ชิดกับบุคคลสำคัญและมีอำนาจ
2. คุณชอบช่วยเหลือคนอื่นใช่หรือไม่
ก. ใช่ เวลาใครขอร้องก็แทบไม่เคยปฏิเสธ
ข. ใช่ ถ้าไม่ลำบากและช่วยเหลือเขาได้จริง
ค. ไม่เชิง แต่ก็ยอมทำให้ เวลาที่รู้สึกว่าตัวเองติดค้างคนที่ขอร้อง หรือถ้ามีเหตุผลจำเป็นบางอย่างบังคับให้ทำ
3. ปกติแล้วการนอนของคุณเป็นอย่างไร
ก. หลับสนิท หลับง่าย
ข. หลับไม่สนิท ตื่นง่าย
ค. หลับสนิท แต่หลับยาก
4. คุณอยากอยู่ตามลำพังบ้างไหม
ก. ที่สุดเลย ช่วงเวลาที่สงบและสร้างสรรค์ที่สุดก็คือ ตอนที่ได้อยู่ลำพังคนเดียว
ข. ไม่เลย ชอบให้มีผู้คนอยู่รอบข้างมากกว่า
ค. ไม่หรอก อยู่คนเดียวก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ได้อยากนะ
5. คุณให้ความสำคัญแค่ไหนกับการดูแลให้รอบๆ ตัวคุณสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย
ก. สำคัญมาก ความเลอะเทอะของคนอื่นพอทนได้ แต่ของตัวเองทนไม่ได้เลย
ข. ที่จริงก็สำคัญนะ อยากเป็นคนมีระเบียบมากกว่านี้จัง
ค. สำคัญเหมือนกัน ตัวเองก็เรียกได้ว่าค่อนข้างสะอาด แต่ก็ไม่ได้เอาเป็นเอาตายถ้ามันจะรกรุงรังไปบ้าง
ง. ไม่สำคัญเลย อยู่บ้านรกๆ ที่คนในบ้านสบายใจยังดีกว่าอยู่บ้านสะอาดเรียบร้อยที่ทุกคนหัวเสีย และคอยจ้องจับผิดกัน
6. คนแบบไหนที่คุณไม่อยากคบเป็นเพื่อนเลย คนที่…
ก. หยิ่งและไม่จริงใจ
ข. นักเลง ชอบรังแกคนไม่มีทางสู้
ค. หยาบคาย ไม่มีกาลเทศะ ไม่มีมารยาท
7. หกเดือนที่ผ่านมา คุณป่วยถึงขั้นต้องล้มหมอนนอนเสื่อกี่ครั้ง
ก. ไม่เลยสักครั้ง
ข. ครั้งเดียว
ค. มากกว่าหนึ่งครั้ง
8. คนที่คุณรักมีเรื่องเศร้าโศกเสียใจ เช่น คนใกล้ชิดเสียชีวิต คุณมีปฏิกิริยาอย่างไร
ก. พยายามปลอบโยนให้เขาร่าเริงขึ้น
ข. ก็เสียใจพอๆ กับเขานั่นแหละ เมื่อเขาทุกข์ก็พลอยทุกข์ไปกับเขาด้วย
ค. แสดงให้เขารู้ว่าเสียใจกับเขาแต่ก็ยังคงปฏิบัติต่อเขาตามปกติเหมือนเดิม
9. คุณเป็นคนตรงเวลาแค่ไหน
ก. ตรงเวลาที่สุด เรียกได้ว่าเป็นคนมีนิสัยตรงต่อเวลา
ข. ไม่ตรงเวลา ถึงจะเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ แต่ก็ไม่เคยไปไหนทันเวลาเลย
ค. ก็แล้วแต่ บางเรื่องก็ตรงเวลา บางเรื่องก็ช้าไปหน่อย
ง. ตรงเวลาพอดี มักไปถึงตอนที่สมควรจะอยู่ที่นั่นแล้ว
10. คุณโกรธคนที่ทำอะไรไม่ยุติธรรมกับคุณนานแค่ไหน
ก. นานทีเดียว รับรองว่าไม่ให้อภัยการกระทำเลวๆ ง่ายๆ หรอก
ข. ไม่โกรธ ความโกรธเกิดจากจิตใจที่มีปัญหา
ค. ไม่นาน โกรธก็จริงแต่ก็มักพยายามระงับใจ
ง. ไม่มัวโกรธ แต่มักจะไม่สมาคมกับคนคนนั้นอีกต่อไป
11. ถ้าได้รับมรดกเป็นเงินหลายสิบล้านคุณจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
ก. ก็ดีใจน่ะสิ
ข. กลัวมีปัญหาตามมา แต่ก็ยอมรับเงินก้อนนั้นไว้ก่อน
ค. กังวลมากเลยที่จะจัดการกับเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้น มันหมายถึงเริ่มชีวิตใหม่ทั้งหมดเลยนะ
12. อะไรที่คุณเห็นว่าเป็นสิ่งดึงดูดใจที่สุดในตัวคู่ครอง
ก. หน้าตาดี
ข. ร่ำรวย
ค. ฉลาด
ง. ไปกันได้ดี
จ. เป็นนักรักชั้นเยี่ยม
ฉ. มีความเข้าอกเข้าใจ
13. ชีวิตสังคมของคุณเป็นแบบไหน
ก. คบหากับเพื่อนสนิทแวดวงแคบๆ
ข. สังคมจัด รู้จักคนเป็นร้อยๆ
ค. มีเพื่อนเยอะ แต่ไม่ค่อยติดต่อกัน มักจะสมาคมกับใครก็ตามที่มาเยี่ยมเยียนมากกว่า
14. คุณเห็นด้วยกับข้อไหน
ก. เวลาติดปีกผ่านไปอย่างลางเลือน
ข. เวลาผ่านไปช้าๆ
ค. วันคืนยาวนาน แต่ละสัปดาห์และเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ง. วันคืนผ่านไปเร็ว แต่สัปดาห์และเดือนเลื่อนไปช้าๆ
15. คุณรู้สึกอย่างไรกับสภาพปัจจุบัน ไม่ว่าเป็นคุณสมบัติส่วนตัว มิตรสหาย ครอบครัว อาชีพ และลู่ทางสำหรับอนาคตของคุณ
ก. ยอดเยี่ยม
ข. ดีพอใช้สภาพที่เป็นอยู่อาจไม่ดีเลิศแต่ก็พอใจและดีขึ้นเรื่อยๆ
ค. ก็ดี แต่กำลังดิ้นรนเพื่ออนาคตที่ดีกว่า
ง. แล้วแต่ บางทีก็รู้สึกดีกับตัวเอง บางทีก็ไม่

ให้คะแนนในข้อที่ตอบถูกข้อละ 1 คะแนน 1. ข 2. ข 3. ก 4. ค 5. ค 6. ข 7. ก หรือ ข 8. ค 9. ง 10. ค 11. ก 12. ง 13. ค 14. ง 15. ข
ถ้าคุณได้ 2 คะแนนหรือต่ำกว่า คุณไม่ค่อยมีความสุขในชีวิต
ถ้าคุณได้ 4-6 คะแนน คุณมีช่วงเวลาที่มีความสุขหลายช่วง
7 คะแนนขึ้นไป แสดงว่าคุณเป็นคนที่มีความสุขอย่างน้อยก็ตามเกณฑ์นี้ โรเบิร์ต ฮาร์ริงตัน ได้อธิบายการให้คะแนน (ตัวเลขที่อยู่ในวงเล็บนั้น หมายถึงข้อคำถามที่เกี่ยวข้อง) ว่า คนที่มีความสุขจะชอบทำสิ่งที่มีประโยชน์และเกิดผล ชอบใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ (1) และพอใจที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น แต่ไม่ถึงกับเสียสละตนเอง (2) ผู้วิจัยเรื่องการนอนหลับพบว่าคนที่มีความสุขจะหลับง่ายเวลากลางคืน (3) มักเป็นคนที่พึ่งตัวเองได้ดีและสามารถอยู่ตามลำพังหรืออยู่กับผู้อื่นได้อย่างสบายโดยไม่ติดทั้งสองอย่าง (4,13) โดยทั่วไปคนที่มีความสุขจะมีระเบียบและตรงต่อเวลา (5,9) คนที่มีความสุขนั้น แม้จะทนความบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ของคนอื่นได้ แต่ก็เกลียดความโหดร้ายและการชอบทำลาย (6) มีสุขภาพดี (7) ไม่กลัวความร่ำรวย (11) และไม่ยอมเข้าไปมีส่วนร่วมในอารมณ์ด้านลบของผู้อื่น (8) หรือเก็บอารมณ์ด้านลบของตนไว้นานๆ (10) ในการเลือกคู่ครอง คนที่มีความสุขจะเลือกคนที่มีอัธยาศัยตรงกัน และเข้ากันได้ดีมากกว่าคนที่แสดงความรักหวานซึ้งและรวยเสน่ห์ (12) คนที่มีความสุขจะทำภารกิจอย่างใจจดใจจ่ออยู่เสมอ ดังนั้นจึงรู้สึกว่าแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเวลาช่วงยาวๆ เป็นสัปดาห์ เดือน หรือปีอาจจะเหมือนว่าผ่านไปช้า (14) ประการสุดท้ายคนมีความสุขจะรู้สึกว่าตนเองก้าวหน้า ดีขึ้น และประสบความสำเร็จอยู่เสมอ (15)

ความสุขแบบเรียบง่าย

ความสุขแบบเรียบง่าย

1. นึกไว้เสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับตัว 3 ชั่วโมง
2. ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเค้าต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้งแน่
3. ลองปลูกต้นไม้เองซักต้น การเติบโตของมันจะบ่งบอกตัวตนของคุณได้
4. หลับตานิ่งๆ ซัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้ามันช่างยากจัง
5. ระหว่างแปรงฟังถ้าฮัมเพลงด้วยไปจนจบ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้น 2 เท่า
6. เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง จากที่รสชาติธรรมดาก้อจะอร่อยขึ้นเยอะเลย
7. ไม่ว่าผมจะสั้นหรือยาวแค่ไหน ก็ต้องการให้หวีอย่างทะนุถนอมเหมือนกันหมด
8. การขึ้นบันไดสูงๆ แบบไม่ให้เมื่อย คือการไม่นับว่ากำลังยืนอยู่บันไดขั้นที่เท่าไหร่
9. คนตาบอดจะเห็นว่าคุณสวยมากๆทันทีที่เธอถามเค้าว่า "ช่วยพาข้ามถนนไหมค่ะ"
10.เมื่อจะหยิบเศษเงินให้ขอทาน ไม่จำเป็นต้องนับก่อนที่จะหย่อนลงกระป๋องหรอก
11.ควรหัดพูดคำว่า "ไม่เป็นไร" ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า "จะเอายังไง"
12.ลองตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้น 15 นาทีรับรองว่าจะไม่ค่อยไปสายเหมือนเมื่อก่อน
13.สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้จึงเล่าให้มันฟัง
14.อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด
15.เขียนชื่อคนที่เกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้งความเกลียดจะเบาบางลงไปเรื่อย ๆ
16.ให้ปล่อยน้ำตาไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้งจะดูแทบไม่ออกว่าเพิ่งร้องไห้
17.ตุ๊กตาและของเล่นเก่าๆ จะทำให้เรายิ้มออกเสมอเมื่อไปหยิบมาเล่นอีกครั้ง
18.ก่อนจะซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันทำให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อก่อน
19.ถึงเสื้อกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าใส่สลับกันไปเรื่อยๆก้อจะดูเหมือนมีเยอะขึ้น
20.ซาลาเปา 1 ลูกกินได้ 2 คน ลูกชิ้นปิ้ง 1 ไม้ กินได้ 4 คนถ้าคุณคิดจะแบ่งเท่านั้นเอง
21.เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ ดีกว่าให้คนที่ได้เยอะจนจำชื่อคนให้ได้ไม่หมด
22.ในวันที่รู้สึกเศร้าๆเหงาๆเดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองสักดอกแล้วจะดีขึ้น
23.แอบรักใครซักคน ยังไงก็ดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึกรักมันเป็นยังไง
24.ถึงจะไม่ออกไปไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นี่นา
25.ฝึกโรแมนติกง่ายๆ คนเดียวบ้าง ด้วยการนั่งนับดาวให้ครบ 100 ดวงก่อนนอน
26.ถ้าเธอเช็ดกระจกบานที่ขุ่นมัวที่สุดจนสดใสได้ ทำไมเธอจะเรียนดีกว่านี้ไม่ได้
27.พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่ม อาจไม่สนุกแต่ก็มีประโยชน์แฝงอยู่
28.วันที่ตื่นเช้าๆให้บิดขี้เกียจนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกายนะ
29.แค่เอาข้าวที่กินไม่หมดไปให้หมาที่เดินผ่านมาก็เป็นการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนแล้ว
30.ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในบ้าน คุณจะเก็บเงินเพิ่มขึ้นได้อีกหลายบาท

...คนที่มีความสุข ไม่ได้หมายความว่า เค้ามีแต่สิ่งดีๆในชีวิตเต็มไปหมด
แต่มันอยู่ที่ว่า...เค้าทำความเข้าใจ...ยอมรับ...และพยายามทำสิ่งที่มี
อยู่ในชีวิตให้ดีที่สุดตะหากหละ...

ความรักกับความใคร่

ความรักกับความใคร่

ผมและเพื่อนๆ นั่งคุยกันเรื่องความรักของผู้ชายกับผู้หญิง เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้นว่า ความรักกับความใคร่เหมือนกันหรือไม่ ถ้าไม่เหมือนกัน ทำไมเราจึงอยากนอนกับคนที่เรารัก บางครั้งถึงกับเก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะ หรือไม่ก็สร้างจินตนาการต่างๆ นานา
พอจบคำถามทุกคนก็หันมามองผมแบบ “เอ็งตอบ” ในฐานะที่เป็นผู้ขยันสรรเรื่องมาเล่า ผมก็เลยกระแอมกระไอให้สมบทบาทที่เพื่อนตั้งให้เป็นผู้เชี่ยวชาญราคะศาสตร์ พูดถึงเรื่องทางจิตวิทยา คนส่วนใหญ่ก็จะคิดถึง ฟรอยด์ เขาผู้นี้แหละเจ้าของทฤษฎีว่า
มนุษย์เรามีส่วนดิบที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด 2 อย่าง ได้แก่ ความต้องการทำลายล้างผลาญกับความต้องการสมสู่ หรือความใคร่นั่นเอง มนุษย์ที่เจริญแล้วความต้องการทั้งสองอย่างจะถูกควบคุมให้ออกมาในรูปที่สังคมยอมรับ ความต้องการทำลายออกมาในรูปของสงคราม การกีฬา การแข่งขัน ความต้องการสมสู่ออกมา ในรูปของการแต่งงานมีครอบครัว ความใคร่แตกต่างจากความรัก ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นความรักชนิดไหน ความรักระหว่างผู้ชายและผู้หญิงเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งจรรโลงโลก จรรโลงมนุษย์ และเป็นกระบวนการ เพราะเมื่อเกิดความรักแล้ว ส่วนที่ดิบในเรื่องความใคร่ของมนุษย์ที่ไม่ได้หายไปไหน จะแสดงอิทธิฤทธิ์ ทำให้เกิดความปรารถนาที่จะได้สมสู่กับคนที่รัก มนุษย์ผู้เจริญแล้วก็จะปฏิบัติในทางที่สังคมยอมรับ แล้วแต่สังคมใครสังคมมัน แต่ถ้าเกิดความใคร่โดยไม่มีความรัก ทีนี้ก็ยุ่งล่ะสิ ปล่อยให้อารมณ์ดิบพาไป เที่ยวลากใครต่อใครไปทำมิดีมิร้าย ที่จริงคำนี้ไม่ถูก ไม่ดีแล้วก็ไม่ร้าย เท่ากับเจ๊ากันไป จะเจ๊าได้ยังไงครับ เพราะผู้หญิงเป็นฝ่ายเสียหายยับเยิน (คำพูดนี้จะต้องเกิดก่อนที่ผู้หญิงจะลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิเท่าเทียมผู้ชายแน่ๆ คำพูดที่แสดงถึงความด้อยโอกาส และการถูกกดขี่แบบนี้มีให้เห็นอยู่มากมาย ฉะนั้น การที่คุณเธอทั้งหลาย ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิ์ก็อย่าไปหมั่นไส้เธอเลยครับ) ที่จริงควรจะพูดว่า ลากไปข่มขืน และถ้ายิ่งมีความดิบต้องการทำลายอยู่ด้วย พอข่มขืนเสร็จก็ฆ่าทิ้งเสียเลยปลอดภัยดีด้วย ส่วนคู่ที่แต่งงานกันปฏิบัติถูกต้องตามประเพณี ถ้าเป็นคนผิดปกติ ความดิบในการทำลาย แทนที่จะออกทางกีฬาดันมาออกพร้อมๆ กับความใคร่ เพื่อนดิบของมัน ใครเป็นคู่นอน เป็นเจ้าสาว เป็นเมียก็กรรมเท่านั้น ร่วมรักกันคราใด เป็นเจ็บตัวครานั้น ที่เราเรียกว่า ซาดิสม์ ไงครับ คุณเชื่อไหมครับว่าประวัติของคำนี้เกิดจากกระทาชายนายหนึ่งนามว่า Marquist De Sade มีพฤติกรรมชอบทำร้ายคู่นอนให้ได้รับความเจ็บปวดทรมานก่อนที่จะร่วมรัก แถมยังกล้าหาญชาญชัยเปิดเผยพฤติกรรมของตนออกมาให้สาธารณชนทั้งหลายทราบ เขาก็เลยได้รับเกียรติเรียกพฤติกรรมวิตถารนี้ตามชื่อของเขา แต่เติมคำว่า ซาดิสม์ ใช้เรียกเฉพาะพฤติกรรมที่ทำร้ายคู่นอน เพื่อให้เกิดอารมณ์ทางเพศเท่านั้นนะครับ แต่ปัจจุบันนำมาใช้ผิดๆ กับพฤติกรรมโหดร้ายทารุณทุกรูปแบบ จนกลายเป็นคำที่ยอมรับและใช้กันทั่วไป ยังไม่หมดนะครับเรื่องการได้รับเกียรติเอาชื่อไปตั้งเป็นชื่อพฤติกรรมความใคร่วิตถารอย่างเช่น Leopold Von Sacher Masoch นักเขียนนวนิยายก็เป็นคนแรกที่เปิดเผยพฤติกรรมที่คล้ายๆ กับซาดิสม์แต่แทนที่จะทำร้ายคู่นอนกลับทำร้ายตัวเองหรือทำให้ตัวเองเจ็บปวดก่อนแล้วจึงจะเกิดอารมณ์ทางเพศ พฤติกรรมนี้จึงเรียกว่า มาโซกิซ อิทธิฤทธิ์ของความดิบในเรื่องความใคร่ทำให้พฤติกรรมทางเพศยุ่งนุ่งนังกันไปหมด อธิบายด้วยตัวอย่างจริงก็แล้วกันนะครับ จะได้เข้าใจง่ายขึ้น ศาสตราจารย์ท่านหนึ่งมีเพศสัมพันธ์กับอาจารย์สาวก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์กัน ทั้งคู่จะต้องแต่งชุดสีดำ อาจารย์สาวจะต้องเฆี่ยนตีท่านศาสตราจารย์ด้วยแส้จนเจ็บปวดครวญคราง เนื้อตัวเป็นริ้วรอย แล้วจึงมีเพศสัมพันธ์ถึงสวรรค์ชั้นฟ้ากันด้วยความสุขทั้งคู่ อาจารย์สาวเกิดอารมณ์เมื่อได้เฆี่ยนตีท่านศาสตราจารย์ได้รับความเจ็บปวด แสดงว่าเธอเป็น ซาดิสม์ ใช่ไหมครับ ส่วนตัวท่านศาสตราจารย์เองต้องเกิดความเจ็บปวดก่อนจึงเกิดอารมณ์ทางเพศ แสดงว่าท่านเป็น มาโซกิซ ใช่ไหมครับ น่าแปลกที่ที่คนคู่นี้มาเจอกันได้ราวกับผีจับแปะ พฤติกรรมคู่วิตถารสมบูรณ์แบบชนิดนี้เรียกว่า S&M ย่อมาจาก Sadomasochism และพฤติกรรมวิตถารพวกนี้มักจะต้องมีตัวช่วยได้แก่ อุปกรณ์ต่างๆ เช่น แส้ ไม้เรียว เชือกหนัง เครื่องแต่งกายทำด้วยหนังสีดำ เสื้อผ้าสีดำ เป็นต้น เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวว่าชายเฒ่าคนหนึ่ง จะอยู่ประเทศใด ไม่แจ้ง เกิดพิศวาสไก่ที่เลี้ยงไว้จึงจัดพิธีแต่งงานกับไก่ มีการส่งตัวเข้าห้องเข้าหอกันด้วย อยู่มาได้แค่ 3 วันก็ซี้ เพื่อนที่ฟังอยู่ทุกคนถามขึ้นพร้อมกันว่าคนหรือไก่ตาย คนสิครับ ส่วนไก่นั้นข่าวไม่แจ้งว่าหลังจากเป็นม่ายแล้วแต่งงานกับใครอีกหรือเปล่า หรือว่าลงหม้อแกงไปตามระเบียบ เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนไข้หวัดนกระบาด เฒ่าจึงไม่ได้ตายเพราะไข้หวัดนกแน่ๆ สำหรับเมืองไทยเราก็ไม่น้อยหน้า เมื่อต้นเดือนแห่งความรักที่ผ่านมานี้เอง ชายไทยได้ถูกความใคร่เล่นงานเอา หลังจากกรึ่มเหล้าจนได้ที่ จะไปเที่ยวผู้หญิงก็กลัวเอดส์ จะลากอีหนูข้างบ้านมาข่มขืนก็กลัวครูยุ่น หันไปหันมาเห็นอีด่างยืนมองอยู่ คิดว่ามันให้ท่า จึงตรงเข้าปลุกปล้ำอีด่างพัลวัน อีด่างหาเป็นใจด้วยไม่ ต่อสู้สุดฤทธิ์ แถมเพื่อนหมาก็มาช่วยรุมกัด หน้าตาเนื้อตัวยับเยินไปด้วยเขี้ยวหมา หาความหล่อไม่ได้อีกเลย เห็นไหมครับ ว่าความใคร่ถ้าปราศจากความรักก็จะมีแต่ความกักขฬะ หยาบช้าวิตถารน่ารังเกียจ แม้แต่หมาก็ยังไม่เล่นด้วย เรื่องของความใคร่ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมวิตถารยังมีอีกมากมาย ไว้ผมจะเล่าให้ฟังโอกาสหลัง ปะเหมาะใครบางคนอาจจะมีพฤติกรรที่พิศดารยิ่งไปกว่าที่เปิดเผยกันมาแล้ว และได้รับเกียรตินำเอาชื่อไปตั้งบ้าง ก็จะทำให้คนไทยดังกันคราวนี้แหละ ก็ที่เขาดังกันทางกีฬา ลึกลงไปก็เกิดจากดิบตัวหนึ่ง ถ้าจะดังเพราะดิบอีกตัวก็ไม่เห็นน่าจะเสียหาย จริงไหมครับ หรือว่าไม่จริง ความใคร่ทั้งหมดที่พูดมาดูจะเป็นความใคร่ของเพศผู้เพียงเพศเดียว ผู้หญิงไม่มีความใคร่เลยหรือไง มีแน่นอนครับ แต่เนื่องจากบทบาทของสังคมและสภาวะทางร่างกายไม่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงปลดปล่อยผีดิบของเธอ ออกมาง่ายๆ อย่างผู้ชาย ก็ดูแค่นักร้องผิวดำ น้องไมเคิล แจ็คสัน แพลมผีดิบของเธอผ่านทางเต้าแค่ข้างเดียว ยังเป็นข่าวถูกประณามหยามเหยียดกันไปทั้งโลก แล้วหน้าไหนจะกล้าลุกขึ้นมาปล้ำหมาแบบผู้ชายล่ะ และโดยธรรมชาติก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว จำกรณีครูผู้หญิงปล้ำนักเรียนชายได้ไหมครับ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ความจริงจึงเปิดเผยออกมาว่าเป็นเรื่องกลับตาลปัตร ยังไงก็ตามก็มีผู้ชายแบบคุณ แบบผม นี่แหละครับที่ต่างก็ยอมรับกันว่า ผู้หญิงเป็นเพศที่มีเสน่ห์น่ารักน่าใคร่ ความใคร่ของเธอก็น่ารักด้วย เรื่องนี้สามีเท่านั้นแหละที่รู้ดีว่าเมียตู... แต่ก็ไม่มีสามีคนไหนที่คิดจะเอาเรื่องบนเตียงของเมียมาพูด เพราะถือว่าเป็นของสูง มิบังควรนำมาพูดเล่น คราวนี้มาพูดถึงเรื่องความรักบ้าง ความรักเป็นสิ่งสวยงาม เป็นแต่สิ่งที่ดีไม่เชื่อลองไปเปิดหนังสือ ความรักคืออะไร ดู เขารวบรวมไว้จากการที่เอาไมค์ไปจ่อปากถามใครต่อใคร มีทั้งคนดัง ดารา และคนเดินดินกินอาหารแดกด่วนทั้งไทยและเทศ มีอยู่ตั้งหลายเล่มโดยเฉพาะช่วงวันวาเลนไทน์ ล้วนแต่เป็นเรื่องดีๆ ทั้งนั้น
ความรักของผู้ชายและผู้หญิงที่ต่างฝ่ายต่างรักกันเปรียบเสมือนคนสองคนที่ยื่นมือออกมาจับกัน และตระหนักดีว่าถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปล่อยมือ อีกฝ่ายก็ล้ม ถ้าความรักคือความต้องการให้คนที่เรารักมีความสุข ปราศจากความเจ็บปวด ต่างฝ่ายต่างก็จะจับมือกันแน่น ไม่ยอมปล่อย ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปด้วยกัน คือทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างยอมรับซึ่งกันและกัน การยื่นมือออกมาหากันคือการปรับตัวเข้าหากัน หลายคู่ที่ยื่นมือออกมาไม่ถึงกัน คือปรับตัวเข้าหากันไม่มากพอหรือปล่อยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยื่นออกมาแต่เพียงฝ่ายเดียว อย่างเช่น ผู้หญิงที่แต่งงานกับผู้ชายที่เจ้าชู้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้มาก่อนว่าเขาเจ้าชู้ แต่ที่ตกลงปลงใจด้วย เพราะเกิดความภาคภูมิใจที่เขาเลือกหล่อนและเกิดสติหลอนว่าในเมื่อเขารักหล่อน เขาก็จะต้องหยุดอยู่ที่หล่อน ฉะนั้นเขาต่างหากเป็นฝ่ายที่จะต้องยื่นมือออกมา หล่อนเป็นฝ่ายยืนกอดอกเฉยๆ ก็พังเท่านั้นสิครับ ต่อให้ติดสติ๊กเกอร์หลังรถ รวมกันเราอยู่ ทิ้งกูมึงตาย ก็ไม่ช่วยหรอกครับ คู่รักที่ต่างฝ่ายต่างยื่นมือออกมาจับกัน เมื่อแต่งงานกันก็จะเป็นคู่สมรสที่สมรัก เป็นพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกให้เป็นคนดีของสังคม ความรักมีอานุภาพมากนะครับ ไม่ใช่แค่ช่วยสร้างชาติสร้างพันธุ์ให้เจริญพัฒนาเท่านั้นยังมีอานุภาพเป็นยารักษาโรคอีกด้วย เรื่องนี้คุณหมอทั้งหลายทราบดี คนที่มีความสุขร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดฟิน ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรค คนที่เจ็บป่วยถ้ามีผู้แสดงความรัก ความเอาใจใส่ก็จะหายเร็วกว่าคนที่ไม่มีใครสนใจ ขนาดเป็นมะเร็ง เป็นอัมพาต ก็ยังหายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ฉะนั้นจงรักกันไว้เถิดครับ ต่อให้รักแล้วเกิดความใคร่ก็เป็นความใคร่ที่เชื่องเหมือนปลาวาฬพิฆาตที่ถูกฝึกปรือ จนกลายเป็นดาราเอกของสวนสนุกทำเงินได้มากมายมหาศาล ไม่ดิบเที่ยวปล้ำหมู หมา กา ไก่ ให้ตกเป็นข่าวว่าเป็นคนขาดรัก อายเขาไปทั่วโลก

คนมีเสน่ห์

คนมีเสน่ห์




ผมเคยฝันอยากที่จะเกิดมาเป็นคนมีเสน่ห์ แต่บัดนี้จนแก่แล้วยังทำไม่ได้สักที จนกระทั่งได้มาอ่านบทความของอาจารย์ระเด่น ทักษณา ซึ่งเคยสอนผม แอบเป็นลูกศิษย์ของท่านเงียบๆ เสมอมา จึงนำเรื่องของเสน่ห์มาเล่าให้ฟังต่อ เพราะเห็นว่ามันคล้ายกับธรรมะปฏิบัติของพระพุทธเจ้ามาก คือ มาดต้องตา วาจาต้องใจ ภายในต้องเยี่ยม และเบ็ดเตล็ดอื่นๆ มาดต้องตานั้นมีส่วนทำให้เกิดเสน่ห์ทางตา ถึง 83% (ส่วนวาจาต้องใจ คือ ฟังด้วยหูแล้วเกิดเสน่ห์ เพียง 11% เท่านั้น)

มาดต้องตา 10 ประการมีดังนี้
1. มีนิสัยสดชื่นร่าเริงอยู่เสมอ การยิ้มแย้ม แจ่มใสกับผู้คนทำด้วยความจริงใจ ออกมาจากใจ
2. ชอบยกมือไหว้คนด้วยความนอบน้อม ลักษณะที่งดงาม สบตาทุกครั้งที่ไหว้ ศีรษะค้อม มือชิดอก และใจเคารพ
3. เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนกับทุกคน โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่แสดงอำนาจ วางท่าเย่อหยิ่ง เหนือผู้อื่น
4. เมื่อได้พบกับคนอื่นที่รู้จักกันแล้ว หรือครั้งแรกก็ตาม ควรจะแสดงความกระตือรือร้น ยินดีที่ได้พบ ที่ได้รู้จักกัน รีบลุกขึ้นยืนทักทายทันที
5. คนมีเสน่ห์ ไม่รู้สึกเสียเกียรติ ที่จะกล่าวคำขอโทษ หรือขอบคุณใครก็ตาม ตั้งแต่คนงาน คนรถ คนใช้ไปถึงระดับผู้ใหญ่ที่มีเกียรติ
6. คนมีเสน่ห์ จะมีความสง่างาม รู้จักวางตัวเหมาะสม เคลื่อนไหวช้าเกินไป ไม่เร็วจนลุกลี้ลุกลนเกินไป เมื่อเล่นก็เล่น เมื่อทำงานก็ทำงาน
7. แต่งกายให้ถูกกับกาลเทศะ ไม่แต่งตามใจเราเอง แต่แต่งตามสภาพของงานที่จะไป และสังคมสิ่งแวดล้อมที่กำลังมีงานอยู่
8. ถ้าหากงานที่จะไปนั้น เป็นงานใหญ่ของเจ้าภาพที่มีเกียรติยศและตำแหน่ง หน้าที่การงานสูง เราไม่สามารถแต่งกายให้สมเกียรติได้ก็อย่าไปดีกว่าเพราะว่า จะทำให้เจ้าภาพเขาเสียหน้า และกระอักกระอ่วนใจ
9. ในงานพิธีต่างๆ เมื่อเราได้รับเชิญให้ลุกขึ้นยืนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าชุมชน ควรจะกลัดกระดุม ให้เรียบร้อยทุกๆ เม็ด รวมทั้งสูทด้วย
10. คนมีเสน่ห์ เมื่อไปงานพิธีใหญ่ ต้องแต่งกายรัดกุม ถูกกาลเทศะไม่พกของตุงกระเป๋า เช่นโทรศัพท์มือถือหรือสะพายกล้องรุงรัง

วาจาต้องใจ
11. คนมีเสน่ห์ เมื่อพูดกับใคร หรือมีใครพูดด้วยต้องให้ความสนใจ 100% ด้วยอาการใจจดใจจ่อ และฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แม้เรื่องนั้นเราจะเคยฟังมาหลายครั้งแล้วก็ตาม
12. เราต้องพูดในสิ่งที่เขาอยากฟัง จะไม่พูดในสิ่งที่เราอยากพูด โดยพยายามถามตนเองทุกครั้ง ก่อนจะพูดว่าเราควรจะพูดออกไปไหม
13. ให้พยายามพูดในภาษาของคนฟัง ไม่ใช่พยายามพูดในภาษาของคนพูด เพราะเมื่อพูดแล้วคนฟังน่าจะเข้าใจได้ง่ายๆ
14. คนมีเสน่ห์ ควรแบ่งบทพระเอกให้คนอื่นเป็นบ้าง อย่าถือว่าเก่งคนเดียว เป็นเจ้านายคนเดียว เป็นหัวหน้าคนเดียว แบ่งให้คนอื่นบ้าง
15. ต้องไม่ยกตนข่มท่าน หลีกเลี่ยงในการวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นว่าไม่ดี เราดีอยู่คนเดียว รังแต่จะสร้างศัตรู เร่งแก้ไขความบกพร่องของตัวเองจะดีกว่า
16. คนมีเสน่ห์ไม่พูดถึงความยากของตนเอง หรือบ่นแต่ความทุกข์ของตนเอง ให้คนอื่นฟัง โดยเฉพาะปัญหาหนักอกหนักใจ นอกจากเขาช่วยเราไม่ได้แล้ว เขาอาจจะนึกดูถูกเราด้วยซ้ำไปในความโง่ของเรา
17. อย่าพูดถึงความร่ำรวย มีเงินทองของตนเองเพราะว่าถึงเราจะรวยแต่เราก็คงไม่ยอม ไปแจกเงินเขาหรือให้ใครยืม เขาจะหมั่นไส้เอาเปล่าๆ
18.คนมีเสน่ห์ ย่อมจะไม่พูดถึงความเลวร้าย ความไม่ดีของคนในครอบครัว ลูกเมียของเรา ยกเว้นจะถูกคะยั้นคะยอเท่านั้น
19. คนมีเสน่ห์จะเป็นคนมีอารมณ์ขัน มีศิลปะในการเล่าเรื่องตลกบ้างเป็นครั้งคราว มีอารมณ์ขันสร้างบรรยากาศ ให้ครื้นเครงตามแต่กาลเทศะ แต่ไม่พร่ำเพรื่อจนกลายเป็นตัวตลกไป
20. ต้องไม่แสดงความรังเกียจ จนออกนอกหน้าเมื่อได้ยินเรื่องที่ไม่ถูก ไม่ว่าจะเรื่อง DIRTY JOXES ก็ตาม

ภายในต้องเยี่ยม
21. คนมีเสน่ห์ต้องมีน้ำใจ เอื้ออาทรต่อคนรอบข้าง "เงินยิ่งใช้ยิ่งหมด แต่น้ำใจยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม" ควรมีน้ำใจในเป็นทุกเรื่อง
22. คนมีเสน่ห์ย่อมทำตัวเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ เพราะว่าผู้ให้ย่อมมีความสุขมากกว่า การไปรับของจากผู้อื่น
23. เป็นคนมีความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี สังคมเคารพยกย่อง คนที่มีความกตัญญูต่อพ่อแม่และผู้มีพระคุณมาก
24. คนมีเสน่ห์ ย่อมมีความเสมอต้นเสมอปลายไม่ว่าตกทุกข์ได้ยาก ตกงาน ว่างงาน หรือจะร่ำรวยมีฐานะดีก็ตาม
25. คนมีเสน่ห์จะเอาหลักศาสนาที่ตนนับถือ มาเป็นหลักปฏิบัติ ชาวพุทธจะปฏิบัติตนตามธรรมะ คือ ศีล 5 พรหมวิหาร 4 และเมตตาธรรม
26. การทำความดี เราถือว่าเป็นความสุข ไม่ใช่เพราะรอให้คนมาเห็นเราทำความดี จึงจะมีความสุข การทำความดีโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนจะทำให้จิตใจเบิกบาน
27. เมื่อมีคนติติง ก็อย่าโกรธ เพราะว่าคำตินั้นมีประโยชน์ในการก่อมากกว่าคำชม ซึ่งจะทำลายและทำให้เหลิงและเสียคน
28. คนมีเสน่ห์จะแสดงความเคารพนับถือ ครูบาอาจารย์ วิทยากร ถึงแม้จะมีอายุน้อยกว่าก็ตาม ถ้าเราคิดว่าเราโง่ เราก็จะมีโอกาสเป็นคนฉลาด แต่ถ้าหากว่าเราคิดว่าเราเป็นคนฉลาดเราจะเป็นคนโง่ที่แท้จริง
29. ให้ความสนใจกับคำเชิญไปงานต่างๆ เสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เรารักและเคารพ ถ้าหากเป็นไปไม่ได้จริงๆ ควรจะโทรศัพท์ไปขอโทษ และส่งของขวัญตามไปภายหลัง งานศพนั้นความไปเสมอ
30. คนมีเสน่ห์ ควรให้อภัย ไม่อาฆาตจองเวรคนที่ให้อภัยเป็นทานจะมีใบหน้ารอยยิ้ม อิ่มเอิบ ผุดผ่องเสมอ คนโกรธจะมีใบหน้าบึ้งตึงไร้เสน่ห์

เบ็ดเตล็ด
31. คนมีเสน่ห์ย่อมจดจำวันเกิดของเพื่อน คนที่รู้จัก หรือคนที่สนิทได้ แล้วส่งของขวัญวันเกิด ดอกไม้หรือโทรศัพท์ไปแสดงความยินดี
32. คนมีเสน่ห์ย่อมเตรียมนามบัตรไว้จำนวนหนึ่งให้พอแจกเสมอ เมื่อยื่นนามบัตรให้ยื่นในระดับสายตา ผู้รับอ่านเห็น และควรอ่านชื่อตนเองดังๆ เพื่อเขาจะได้ทราบว่าชื่อของเราอ่านว่าอย่างไร
33. เมื่อมีผู้มอบนามบัตรให้ เราควรจะยกมือขึ้นรับและไหว้ ควรอ่านชื่อในนามบัตรของเขาดังๆ เพื่อให้จดจำชื่อของเขาได้
34. นามบัตรเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อราได้รับนามบัตรอย่าเพิ่งรีบเก็บเข้ากระเป๋า ควรวางบนโต๊ะในที่มองเห็นตลอดเวลา อย่าให้เปื้อน แล้วเก็บไปด้วยเสมอ
35. เมื่อมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วในโต๊ะอาหารหรือนั่งประชุม ควรจะขออนุญาตเมื่อจะเข้าไปนั่งด้วย และกล่าวคำขอโทษก่อนจะลุกออกจากโต๊ะ อย่าลุกไปเฉย
36. ผู้มีเสน่ห์เมื่อนั่งอยู่ในโต๊ะอาหารหรือที่ประชุมควรยิ้มต้อนรับหรือกล่าวคำทักทาย ผู้มาใหม่เสมอ หรือผู้ที่จะลุกออกไปจากโต๊ะ
37. เมื่อนั่งโต๊ะอาหาร ควรคลี่ผ้ากันเปื้อนไว้เป็นรูปสามเหลี่ยมบนตัก อย่าใช้ผ้ากันเปื้อนเช็ดปาก เช็ดหน้า เช็ดมือเป็นอันขาด และเมื่อลุกจากโต๊ะควรพับผ้ากันเปื้อนแล้ววางเอาไว้บนโต๊ะ
38. เมื่อรับประทานอาหารเสร็จควรรวบช้อนส้อมเข้าด้วยกัน พนักงานเสิร์ฟจะได้มาเก็บจานไป แต่ถ้ายังรับประทานไม่เสร็จ ให้วางช้อนและส้อมเป็นรูปตัววี
39. คนมีเสน่ห์ เมื่อตักอาหารบุฟเฟ่ต์ ควรตักกับข้าวอย่างเดียว อย่าตักทุกอย่างรวมกันจนล้นจาน เหมือนคนตายอด ตายอยาก เมื่อไม่พอกินก็ตักมาใหม่
40. เมื่ออาหารติดฟัน ไม่ควรที่จะใช้มือแคะอาหารออกจากปาก อาจจะใช้มือป้องแล้วแคะฟัน แต่ที่ดีที่สุดควรจะลุกไปทำในห้องน้ำจะดีกว่า
41. คนมีเสน่ห์เมื่อไปงานเต้นรำ ควรจะหาคู่เต้นไปเอง ไม่ควรไปล่าหาเหยื่อ ถ้าหากจะไปขอสุภาพสตรีอื่นในโต๊ะ ควรจะขออนุญาตสุภาพบุรุษในโต๊ะเสียก่อน และเมื่อเต้นเสร็จแล้ว ควรพามาส่งคืนที่โต๊ะพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ
42. คนมีเสน่ห์ เวลาเล่นกอล์ฟ เขาจะไม่พูดคุยหรือแสดงอาการรบกวนคนที่กำลังพัทท์กอล์ฟ และเมื่อเขาพัทท์ลูกกอล์ฟลงหลุม ควรจะแสดงความยินดีอย่างจริงใจ
43. เมื่อถูกเชิญขึ้นไปร้องเพลง ต่อหน้าคนมากๆ ควรจะขึ้นไปร้องเพลงเฉพาะเพลงที่ตนถนัด และแน่ใจเท่านั้น ถ้าหากร้องไม่ได้จริงๆ ควรจะปฏิเสธดีกว่าขึ้นไปเสียหน้าบนเวที
44. คนมีเสน่ห์ เมื่อเจ็บป่วย เวลาไอหรือจาม ในที่ชุมนุมชนควรจะใช้ผ้าเช็ดหน้า ปิดปากจมูกเสมอ ถ้าเลี่ยงได้ ควรเลี่ยงออกมาภายนอก
45. เมื่อไปเยี่ยมคนป่วย ควรเลือกของเยี่ยมที่เหมาะสมกับคนป่วยและภาวะของโรค เช่น ของกิน ของใช้ ดอกไม้ หรือหนังสือที่เหมาะกับคนไข้
46. ผู้มีเสน่ห์ย่อมไม่ขับรถปาดหน้าผู้อื่น ไม่บีบแตรไล่ ไม่เปิดไฟไล่หลัง และไม่แย่งที่จอด เมื่อมีผู้อื่นกำลังรออยู่ก่อนเรา
47. คนมีเสน่ห์ ย่อมเป็นคนตรงต่อเวลา ให้ความสำคัญกับการนัดหมายทุกครั้ง ไม่ควรอ้างว่า นาฬิกาปลุกเสีย รถติด เพราะว่าเชยหมดสมัยแล้ว

จากตัวอย่างของ คนมีเสน่ห์ที่เขียนมาเพียงน้อยนิด ยังมีเสน่ห์อีกมากมาย ที่เราจะสร้างขึ้นมาได้ เพราะว่าเสน่ห์ไม่ใช่ของที่ได้มาแต่เกิด เป็นมารยาทสังคมที่เราต้องเรียนรู้ และสร้างนิสัยขึ้นมา เหมือนในโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท เราจะมีการฝึกอบรมเสน่ห์มารยาท การยิ้ม พนักงานอย่างต่อเนื่อง เมื่อคนป่วยจะป่วยทั้งกายและใจ การต้อนรับของผู้ให้บริการ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่จะทำให้เกิดความประทับใจ เหมือนธรรมะทั้งหลายทั้งปวงที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดเสน่ห์ และเป็นที่รักของคนทั่วไป


กลเม็ด 6 วิธีเพื่อควานหาคนถูกใจ


กลเม็ด 6 วิธีเพื่อควานหาคนถูกใจ


ถ้าลงทุนจะ " จีบ" ทั้งที มีสัญญาณอะไรนะที่บอกว่า อีกฝ่ายเปิดทาง ให้เข้าไปตีสนิทได้แล้ว ขอย้ำ งานนี้มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งส่งกระแสจิตบอกให้มา " จีบฉันสิ " ก่อนนะ ไม่ได้สุ่มสี่สุ่มห้านึกอยากจีบ ก็จีบมั่วซั่ว เพียงแต่ใครคนนั้น จะรู้ตัวหรือเปล่าว่าเปิดประตูอ้าซ่าให้เราเดินเข้าใส่...นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง จากหนังสือ How to understand people (ทำอย่างไรจึงเข้าใจมนุษย์) เปรียบสายตาเหมือนหอควบคุมการบิน คล้ายดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจยังไงยังงั้น ฟังแล้วเชยเหมือนสมัยขวัญเรียม แต่เด็กยุคดอทคอมก็ไม่แคล้วแพ้ใจ ให้คนที่ตัวเองชอบเป็นทุนอยู่แล้ว เช่นกันนั่นแหละ ถ้าการที่สาวสักอนงค์ มองมายังอีกคนซึ่งจ้องเขม็งรอจ๊ะเอ๋อยู่แล้ว รู้ไหมว่าสายตาที่มองแวบแรก หมายถึงส่งสัญญาณให้เครื่องบินเตรียมลง แวบที่สอง คืออนุญาตให้ แลนดิ่ง หรือลงจอดได้ แวบที่สาม แปลว่าเมื่อไหร่เครื่องบินลำนั้นจะเข้ามาจอดสักทีนะ แววตาที่มองกันไป มองกันมาอย่างนี้แหละ ปิ๊งกันหลายรายแล้ว ยิ่งหากกล้าเขยิบเข้าใกล้ ก็มีสิทธิ์ทำความรู้จักกันได้ทันที อ้อ...ขอทำความเข้าใจเสียแต่เนิ่นๆ ก่อนว่า สมัยนี้ จะพึ่งใบบุญแค่อาศัยว่า ตัวเองหน้าตาดีหรือ หุ่นเซ็กซี่น่ะ แค่นี้ไม่พอที่จะเรียกร้องความสนใจ ให้ใครๆ เข้ามาจีบได้หรอก แต่ควรมี " ลักษณะของคนที่เข้าหาได้ไม่ยาก " ด้วย ผู้ที่เป็นเจ้าของบุคลิกเข้าหาได้ไม่ยาก ก็เช่นมีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส, คิ้วไม่ผูกโบ หรือทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแสดงถึงความจริงจังกับชีวิตตลอดเวลา กระนั้น การเข้าหาได้ไม่ยาก ก็ไม่ใช่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ใครต่อใครไปทั่วนะ ควรยับยั้งชั่งใจด้วยว่า ควรระริกระรี้แค่ไหนถึงเหมาะสม ง่ายเกินไปก็ไม่เก๋เช่นกัน เพราะตามหลักจิตวิทยา ทุกคนมักสงสัยสิ่งที่ได้มาง่ายๆ เสมอ และอาจเตลิดไปอีกว่า อะไรที่ได้มาง่าย ย่อมไม่มีคุณค่าไปโน่นเลย ว่าแล้วฝอยถึงกลเม็ด 6 วิธีเพื่อควานหาคนถูกใจ ดีกว่า ใน 6 ways to meet Mr.right บอกถึงขั้นตอนของการหาแฟน เหมือนรู้ใจว่า ขืนปล่อยให้หากันเอง คงแย่แน่ๆ เหตุนี้จึงขอทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงกันหน่อย

จะหาแฟนมาแนบใจก็ไม่ยากอะไร แค่...

1. ประกาศกับเพื่อนๆ ว่า คุณจะ จัดงานปาร์ตี้ใหญ่ยักษ์ที่จะมีของกิน และเครื่องดื่มเพียบ กะเลี้ยงไม่อั้น แต่ถ้าใครอยากมาอย่าลืมหนีบชายโสดมาด้วย งานนี้ใครพาคนรักมาไม่ให้เข้า นะยะ เห็นใครมีความสุขแล้วตาจะลุกเป็นไฟ รัศมีนางอิจฉากำเริบ
2. ประสงค์จะมีแฟนทั้งที ต้องใจกล้าหน้าด้านเข้าไว้ ควรกล้าที่จะเป็นฝ่าย เข้าไปคุยกับคนแปลกหน้าทุกวัน แต่จะเข้าไปตีซี้หรือเจ๊าะแจ๊ะกับใคร ก็ดูตาม้าตาเรือหน่อย ไม่ใช่เซ่อซ่าเข้าไปหวังจับคนที่ดูแล้ว เขาไม่เล่นกับเราด้วยแน่ๆ คงเสียเวลาเปล่า
3. ส่งอีเมล์โปรยเสน่ห์หาคู่ใจ ตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่เปิดให้บริการด้านนี้ จนเกลื่อนคอมฯ หรืออาจให้เพื่อนนัดบอดให้อีกทอดหนึ่งก็ได้ แต่มีข้อแม้หน่อยว่า ถ้าเพื่อนนัดใครให้ แล้วไม่ถูกใจ จะไปตำหนิเพื่อนก็ไม่ถูกนัก เพราะใครจะไปรู้ซึ้ง รสนิยมแท้จริงของคุณเล่า ช่วยให้รู้จักกันก็ดีแค่ไหนแล้ว หลังจากนั้นจะสานสัมพันธ์กันต่ออย่างไร ก็อยู่ที่ความชอบของแต่ ละคน เรื่องแบบนี้ใครจะไปบังคับใจกันได้
4. วันหยุดสุดสัปดาห์ก็ควรใช้ทุกเวลานาทีให้เป็นประโยชน์ ด้วยการออกไปสังสรรค์ เฮฮาตามบ้านเพื่อนฝูง ต้องรู้จักเปิดตัวกับคนอื่นเข้าไว้ แถมถ้าได้ไปงานเลี้ยง ซึ่งจัดแบบเป็นกันเอง ก็อย่าได้แต่งตัวมิดชิดเกินเหตุ จะเปิดนิดโชว์หน่อยก็รีบทำซะ ยังอยู่ในวัยสะพรั่ง หากไม่โชว์ตอนนี้แล้วจะเก็บไว้ตอนไหน
5. สำรวจตรวจตราดูสิว่า มีสถานที่แห่งหนตำบลใดบ้าง ซึ่งคนในสเปกของคุณชอบ ไปสุมกันอยู่ในนั้น แล้วจงรีบจรลีไปได้เลย อย่ามัวแต่เอ้อระเหยอยู่บ้าน ทำเป็นอะโนเนะมากๆ คงหาแฟนได้หรอก
6. หากเจอคนถูกใจเข้าอย่างจัง อย่าปล่อยให้หลุดมือ ทำยังไงก็ได้ที่จะยื้อเขาไว้ แต่ตรงข้าม ถ้าพากเพียรหาอยู่นานก็ยังไม่เจอ " ตามสเปก " ตรงใจเสียที ก็อย่าเสียเวลา จีบกันไปจีบกันมากับคนที่เราไม่ได้คิดจริงจังด้วยหน่อยเลย
เพราะไม่งั้นก็เท่ากับปิดโอกาสทั้งของเขาและของเรา แหมจะล่อเหยื่อให้มากินเบ็ดสักหน่อย เดี๋ยวเกิดเขาเข้าใจผิดว่า เราไม่ว่างก็แย่น่ะซี นี่ถ้าไม่เป็นทาสมารยาททางสังคม กะเชียร์ ให้แขวนป้ายไว้แล้วเชียวว่า หัวใจยังว่าง เข้าทำนอง กลัวจัดว่าจะไม่มีใครรู้

Hydrogen alternative energy










Photocatalyst use for environment purification








A promising approach for remediating air quality contaminants is to employ photocatalyst that oxidize these compounds. By definition, photocatalyst is a catalyst that accelerates photoreaction.When photocatalyst is exposed to light in the presence of water vapor, two highly reactive substances are formed: hydroxyl radicals [OH] and a superoxide anion [O2-1]. It allows the oxidation of airborne VOCs and toxic organic matter into carbon dioxide and water at room temperature with UV or near-UV light source. It does not need a special energy and use only clean energy in ordinary life. Specific titanium dioxide has strong photo catalyst reaction. It has strong oxidation and decomposition strength










Photocatalyst has the following advantages over any current air purification technologies












  • Real destruction of pollutant rather than a simple transfer on a substrate






  • Degradation of pollutant at ambient temperature and pressure






  • Build with easily available materials and by mean of well-known techniques






  • Economical, cheap and low energy consumption






  • Adapted for a large range of pollutant (VOC, bacteria, mold)












Titanium Dioxide







Titanium dioxide, also known as titania, is the naturally occurring oxide of titanium, chemical formula TiO2. Approved by the food testing laboratory of the United States Food and Drug Administration (FDA), Titanium Dioxide is considered a safe substance and harmless to human. It is commonly used in paint, printing ink, plastics, paper, synthetic fibers, rubber, condensers, painting colors and crayons, ceramics, electronic components along with food and cosmetics. Many studies have been published on the use of titanium dioxide as a photocatalyst for the decomposition of organic compounds. After illuminated by light, titanium dioxide produces hydroxyl radicals, which react with the organic matters in the air to form non-toxic inorganic matters.

Titanium Dioxide molecules contain electrons that are confined to relatively narrow energy bands. The band of highest energy that contains electrons is the valence band, while the band lying above the valence band, i.e. the conduction band, has very few electrons. The difference in energies between the highest energy of the valence band and the lowest energy of the conduction band is termed the band gap energy. When a semiconductor absorbs a photon of energy equal to or greater than its band gap, an electron may be promoted from the valence band to the conduction band leaving behind an electron vacancy or “hole” in the valence band. If charge separation is maintained, the electron and the hole may migrate to the catalyst surface where they participate in redox reaction with sorbed species.
Nanoteachnology
Nanotechnology, the revolutionary science and art of manipulating matter at the atomic or molecular scale. Nanotechnology is not just about the size of very small things. More important, it is about structure and the ability to work. Research in areas related to nanomaterial is needed to develop manufacturing techniques, in particular, is a synergy of top-down with bottom-up processes.When a matter is as small as 1 to 100 nanometers, many of its features will easily change and form into many different unique conditions both different from macro-matters and single atom due to the quanta effect, regional confinement of matter, and huge surface or interface effects. The final objective of nanometer technology is to produce products of special functions with new physical and chemical features by making atoms, molecules and matters presenting their features directly in the length of a nanometer: t he strength of ten times of iron could be very light, all information in a library could be stored in a chip the size as a piece of square sugar, and tumors the sizes of only several cells can be detected.The US Business Weekly listed nanometer technology as one of the three key areas in the 21st century . From 1999, the US government decided to put the research in nanometer technology into one of the 11 key areas in the first ten years of the new century. In February 2000, US president Bill Clinton announced that the US Federal Government would invest 495 million dollars to set up a work group and put forth a research report on the promotion, saying that it will lead to the next industrial revolution as a top priority.Titanium Dioxide's photocatalytic characteristic is greatly enhanced due to the advent of nanotechnology. At nano-scale, not only the surface area of titanium dioxide particle increases dramatically but also it exhibits other effects on optical properties and size quantization. An increased rate in photocatalytic reaction is observed as the redox potential increase as the size decreases. Energy from any ambient light source can be used effectively as the energy source of photocatalysis instead of UV light.
Technology Comparition
HEPA (High Efficiency Particle Arresting) FilterMost widely known method for purifying air. Depending on the filter size, it can clean up to 99.99% of particulate in the air with proper ventilation. They are not effective on treating mold, mildew, bacteria, and other fungi.Electrostatic FiltrationAnother filtration system with a negatively charged surface is used to attract particulate. In comparison to most HEPA systems it is more effective in trapping smaller micron particulate and effective in clearing smoke from the air. Low levels of ozone may be produced which can neutralize most mold, mildew, bacteria, and other fungi that comes in contact with the filter.IonizationAlso uses a negatively charged surface to produce and expels an abundance of negative ions and cause suspended particles to cling to walls, floors, and other surfaces . Most ionizers are effective in settling dust and particulate out of our breathing space.OzoneOzone is a very powerful oxidizer that will neutralize odors, mold, mildew, bacteria, and other fungi. This technology is commonly used in flood and fire restoration. Ozone is found to be effective because it works on the problem at the source and air does not have to be pulled through the unit for treatment.UV Germicidal LampsCommonly used for disinfecting purposes. This technology is effective in sterilizing air and surfaces that come in contact with the UV light. UV has been proven in both air and water applications to inactivate bacteria and viruses to prevent them from reproducing.PhotocatalysisUsing light to react with a catalyst resulting in oxidation. This is found to be effective in destroying mold, mildew, bacteria, other fungi, dust mites, and many odors. This technology is produced with an Ozone/UV lamp set in a variety of combinations. When this type of photocatalysis is combined with the natural humidity in indoor air it creates hydroxyl radicals and super oxide ions that are effective in combating bacteria, fungi and VOC. This method is also a pro-active approach that goes to the source for treatment.


เขียนโดย pizzakatai